วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

หน่วยที่ 4

หน่วยที่ 4
ซอฟต์แวร์(software)
ซอฟต์แวร์ คือ การลำดับขั้นตอนของการทำงานของคำสั่งที่จะทำหน้าที่สั่งคอมพิวเตอร์ว่าให้ทำอะไร  เป็นชุดของโปรแกรมหลายๆโปรแกรมนำมารวมกันให้สามารถทำงานได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ต้องการ  เรามองไม่เห็นหรือสัมผัสม่ได้แต่เราสามารถสร้าง   จัดเก็บ  และนำมาใช้งานหรือเผยแพร่ได้ด้วยสื่อหลายชนิดเช่น แผ่นบันทึก  แผ่นซีดี  แฟล็ชไดร์ฟ  ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น
หน้าที่ของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์ทำหน้าที่เป็นตัวเวื่อมระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์  ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์  เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย   ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท
ซอฟต์แวร์แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆคือ
       ซอฟต์แวร์ระบบ(System Software)
       ซอฟต์แวร์ปรพยุกต์(Application  Software)
       และซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะ
1.ซอฟต์แวร์ระบบ(System Software)
ซอฟต์แวร์ระบบเป็นโปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกับระบบ  หน้าที่การทำงานของซอฟต์แวร์ระบบ คือ  ดำเนินงานพื้นฐานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์  เช่น  รับข้อมูลทางแผงแป้นอักขระแล้วแปลความหมายให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ   นำข้อมูลไปแสดงผลบนจอภาพหรือนำออกไปยังเตรื่องพิมพ์  จัดการข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูลบนหน่วยความจำรอง
System Software หรือโปรแกรมที่รู้จักกันดีก็คือ DOS,Windows,Unix,Linux รวมทั้งโปรแกรมคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic,Fortran,Pascal,Cobol,C เป็นต้น
นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น  Norton's  Utilities  ก็นับเป็นโปรแกรมสำหรับระบบด้วยกันเช่น
หน้าที่ของซอฟต์แวร์ระบบ
1)ใช้ในการจัดการหน่วยรับเข้าและหน่วยส่งออก  เช่น  รับรู้การกดแป้นต่างๆ บนแผงแป้นอักขระ  ส่งรหัสตัวอักษรออกทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์   ติดต่อกับอุปกรณ์รับเข้าและส่งออกอื่นๆเช่น เมาส์  ลำโพงเป็นต้น
2)ใช้ในการจัดการหน่วยความจำ  เพื่อนำข้อมูลจากแผ่นบันทึกมาบรรจุยังหน่วยความจำหลัก  หรือในทำนองกลับกัน  คือนำข้อมูลจากหน่วยความจำหลักมาเก็บไว้ในแผ่นบันทึก
3)ใช้เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์  เพื่อให้สามารถให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น   เช่น  การขอดูรายการในสารบบ (directory)  ในแผ่นบันทึก  การทำสำเนาแฟ้มข้อมูล
ซอฟต์แวร์ระบบพื้นฐานที่เห็นกันทั่วไป   แบ่งออกเป็นระบบปฏิบัติการ  และ ตัวแปลภาษา

ประเภทของซอฟต์แวร์ระบบ
ซอฟต์แวร์ระบบแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.ระบบปฏิบัติการ (Operating  System: OS)
2.ตัวแปลภาษา
    
      1.ระบบปฏิบัติการ หรือเรียกย่อๆว่าโอเอส (Operating  System: OS) เป็นซอฟต์แวร์ใช้ในการดูแลระบบคอมพิวเตอร์   เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการนี้  ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมากและเป็นที่รู้จักกันดีเช่น  ดอส  วินโดวส์  ยูนิกซ์ ลีนุกซ์  และแมคอินทรอช เป็นต้น
1. ดอส (Disk Operating Syatem : DOS) เป็นซอฟต์แวร์จัดระบบงานที่พัฒนามานานแล้ว  การใช้งานจึงใช้คำสั่งเป็นตัวอักษร  ดอสเป็นซอฟต์แวร์ที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในอดีตปัจจุบันระบบปฏิบัติการดอสนั้นมีการใช้งานน้อยมาก
     2. วินโดวส์  (Windows) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาต่อจากดอส  โดยให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานได้จากเมาส์มากขึ้นแทนการใช้แผงแป้นอัขระเพียงอย่างเดียวนอกจากนี้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ยังสามารถทำงานหลายงานพร้อมกันได้   โดยงานแต่ละงานจะอยู่ในกรอบช่องหน้าต่างบนจอภาพ   การใช้งานเน้นรูปแบบกราฟริก   ผู้ใช้งานสามารถใช้เมาส์เลื่อนตัวชี้เพื่อเลือกตำแหน่งที่ปรากฏบนจอภาพ   ทำให้ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ง่าย  ระบบปฏิบัติการวินโดวส์จึงได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
     3. ยูนิกส์ (Unix) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ครั้งใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์   ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด (Open Syatem) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้องผูกติดกับระบบใดระบบหนึ่งหรือใช้อุปกรณ์ที่มียี่ห้อเดียวกัน  ยูนิกซ์ยังถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานในลักษณะที่มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกันที่เรียกว่า   ระบบหลายผู้ใช้ (multiusers)  และสามารถทำงานได้หลายๆงานในเวลาเดียวกันในลักษณะที่เรียกว่า รพบบหลายภารกิจ (multitasking) ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์จึงนิยมใช้กับเครื่องที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย  เพื่อใช้งานหไลยๆเครื่องพร้อมกัน
     4. ลีนุกซ์ (linux) เป็นระบบปฏิบัติการที้พัฒนามาจากระบบยูกนิซ์   เป็นระบบซึ่งมีการแจกจ่ายโปรแกรมต้นฉบับให้นักพัฒนาช่วยกันพัฒนาคุณสมบัติของระบบปฏิบัติการ   ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์เป็นที่นิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน   เนื่องจากมีโปรแกรมประยุกต์ต่างๆที่ทำงานบนระบบลีนุกซ์จำนวนมาก  โดยเฉพาะอย่างยื่งโปรแกรมในกลุ่มของกูส์นิว (GNU) และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือระบบลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการประเภทแจกฟรี (Free Ware)  ผู้ใช้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
    ระบบลีนุกซ์  สามารถทำงานได้บนซีพียูหลายตระกูล เช่น อินเทล (PC Intel) ดิจิตอล (Digital Alpha Computer) ถึงแม้ว่าในขณะนี้ลีนุกซ์ยังไม่สามารถแทนที่ระบบปฏิบัติการวินโดวส์บนซีพีได้ทั้งหมดก็ตาม   แต่ผู้ใช้จำนวนมากได้หันมาใช้และช่วยพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนลีนุกซ์กันมากขึ้น
     5.แมคอินทอช (macintosh) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์  แมคอินทอช  ส่วนมากใช้ในงานด้สนกราฟริก  ออกแบบและจัดแต่งเอกสาร  นิยมใช้ในสำนักพิมพ์ต่างๆ
     นอกจากระบบปฏิบัติการที่กล่าวมาแล้วยังมีระบบปฏิบัติการอีกมากมาย   เช่นระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์   เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานร่วมกันเป็นระบบ  เช่น  ระบบปฏิบัติการเน็ตแวร์  นอกจากนี้ยังมีระบบปฏิบัติการที่ใช้งานเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่องานใดงานหนึ่งโดยเฉพาะ   ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในสถาบันการศึกษา

     ชนิดของระบบปฏิบัติการ  จำแนกตามการใช้งานสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ชนิด ด้วยกันคือ
   1.ประเภทใช้งานเดียว (Single-tasking) ระบบปฏิบัติการประเภทนี้จะกำหนดให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ครั้งละหนึ่งงานเท่านั้น  ใช้ในเครื่องขนาดเล็กอย่างไมโครคอมพิวเตอร์  เช่น  ระบบปฏิบัติการดอสเป็นต้น
   2.ประเภทใช้หลายงาน (Multi-tasking) ระบบปฏิบัติการประเภทนี้สามารถควบคุมการทำงานพร้อมกันหลายงานในขณะเดียวกัน  ผู้ใช้สามารถทำงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้หลายชนิดในเวลาเดียวกันเช่น  ระบบปฏิบัติการ  Windowa 98 ขึ้นไป และ UNIX เป็นต้น
   3.ประเภทใช้งานหลายคน (Multi-user) ในหน่วยงานบางแห่งอาจใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ทำหน้าที่ประมวลผล  ทำให้ขณะใดขณะหนึ่งมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์พร้อมกันหลายคน   แต่ละคนจะมีสถานีงานของตนเองเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์   จึงต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่มีความสามารถสูงเพื่อให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถทำงานเสร็จในเวลา เช่น  ระบบปฏิบัติการ Windoes NT และ UNIXเป็นต้น


2.ตัวแปลภาษา
      การพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องอาศัยซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูงเพื่อแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง
      ภาษาระดับสูงมีหลายภาษาซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั้งได้ง่าย  เข้าใจได้  เพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟต์แวร์ในภายหลังได้
      ภาษาระดับสูงที่พัฒนาขึ้นทุกภาษาต้องมีตัวแปลภาษาซึ่งภาษาระดับสูงได้แก่ Basic,Pascalและภาษาโลโก ป็นต้น
    นอกจากนี้  ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกมา  ได้แก่ Fortran,Cobolและภาษาอาร์พีจี

2.2ซอฟต์แวร์ประยุกต์(Application  Software)
     ซอฟต์แวร์ที่ใช้ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์   เพื่อใช้ทำงานเฉพ่ะด้สนเช่น   การจัดพิมพ์รายงาน  การนำเสนองาน  การจัดทำบัญชี   การตกแต่งภาพ  หรือการออกแบบเว็บไซต์เป็นต้น
ประเภทของซอฟต์แวร์ประยุกต์
แบ่งตามลักษณะการผลิต   จำแนกได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองโดยเฉพาะ (Proprietary  Software)
2.  ซอฟต์แวร์ที่หาซื้อได้ทั้วไป (Packaged  Software)  มีทั้งโปรแกรมเฉพาะ (Customized   Package)และโปรแกรมมาตฐาน (Standard  Package)
         
ประเภทของซอฟต์แวร์ประยุกต์
แบ่งตามกลุ่มการใช้งาน  จำแนกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆดังนี้
1.กลุ่มการใช้งานทางด้านธุกิจ(Business)
2.กลุ่มการใช้งานด้านกราฟริกและมัลติมีเดีย (Graphic  and  Multimeddia)
3.กลุ่มการใช้งานบนเว็บ(Web  and  communications)
      กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ (Business)
     ซอฟต์แวร์กลุ่มนี้  ถูกนำมาใช้โดยมุ่งหวังให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น  เช่น  การจัดพิมพ์รายงานเอกสาร   นำเสนองานและการบันทึกนัดหมายต่างๆตัวอย่างเช่น
    โปรแกรมประมวลผลคำ อาทิ Microsoft  Word , Sun Staroffice  Wirter
     โปรแกรม ตารางคำนวณอาทิ Microsoft  Excel,Sun  Star Office  Cals
     โปรแกรมนำเสนองาน  อาทิ Microsoft Point,Sun StarOffice  Impress
                       

                                            กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟริกมัลติมีเดีย
    ซอฟต์แวร์กลุ่มนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยจัดการด้านงานกราฟริกและมัลตอมีเดีย   เพื่อให้งานง่ายขึ้น  เช่น  ใช้ตกแต่ง  วาดรูป   ปรับเสียง   ตัดต่อภาพเคลื่อนไหว   และการสร้างและการออกแบบเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น
    โปรแกรมงานออกแบบ  อาทิ Microsoft   Visio  Professional
    โปรแกรมตกแต่งภาพอาทิ  CorelDRAW,Adobe Photoshop
    โปรแกรมตัดต่อวิดิโอและเสียง   อาทิ Adobe Premiere,Pinnacle  Studio DV
    โปรแกรมสร้างสื่อมัลติมีเดีย อาทิ Adobe Authorware, Toolbook Instructor,Adobe Director
    โปรแกรมสร้างเว็บ  อาทิ  Adobe Flash,Adobe  Dreamweaver
                                          

                                             กลุ่มการใช้งานบนเว็ยและการติดต่อสื่อสาร
      เมื่อเกิดการเติบโตของเครือข่ายอินเตอร์เน็ตซอฟต์แวร์กลุ่มนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานเฉพาะเพ่มมากขึ้น เช่น  โปรแกรมการตรวจเช็คอีเมล  การท่องเว็บไซต์   การจัดการดูแลเว็บ  และการส่งข้อความติดต่อสื่อสาร   การประชุมทางไกลผ่านเครือข่าย   ตัวอย่างโปรแกรมในกลุ่มนี้ได้แก่
       โปรแกรมจัดการอีเมล  อาทิ Microsoft  Outlook, Mozzila   Thunderbird
       โปรแกรมท่องเว็บ อาทิ Microsoft  Internet Explorer,Mozzila  Firefox
       โปรแกรม ประชุมทางไกล  (Video  Conference)  อาทิ   Microsoft  Netmeeting
       โปรแกรมส่งข้อความด่วน  (Instant Messaging) อาทิ MSN Messesger/Windows  Messenger,ICQ
       โปรแกรมสนทนาบนอินเตอร์เน็ต  อาทิ  PIRCH,MIRCH
                              ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์
           การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที   แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมากเพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก   จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร  เป็นประโยค  ข้อความ  ภาษาในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่า  ภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง   ภาษาระดับสูงมีอยู่มากมาย    บางภาษามีความเหมาะสมกับการใช้สั้งงานการคำนวณทางคณิตศาสตร์   และวิทยาศาสตร์   บางภาษามีความเหมาะสมไว้ใช้สั่งงานทางด้านการจัดการข้อมูล
      ซอฟต์แวร์และภาษาคอมพิวเตอร์
    เมื่อมนุษย์ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงานมนุษย์จะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบการที่บอกสิ่งที่มนุษย์เข้าใจให้คอมพิวเตอร์รับรู้   และทำงานได้อย่างถูกต้อง   จำเป็นต้องมีสื่อกลาง   ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวันแล้ว   เรามีภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน   เช่นเดียวกันถ้ามนุษย์จะถ่ายทอดความต้องการให้คอมพิวเตอร์รับรู้   และปฏิบัติตามจะต้องมีสื่อกลางสำหรับการติดต่อเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้   เราเรียกสื่อกลางนี้ว่า  ภาษาคอมพิวเตอร์
    ภาษาคอมพิวเตอร์ในแต่ละยุคประกอบด้วย
ภาษาเครื่อง (Machine   Languages)
   เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณทางไฟฟ้า ใช้แทนด้วยตัวเลข 0 และ 1 นี้เป็นระหัสแทนคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์  รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งโดยใช้ระบบเลขฐานสองนี้   คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้   เราเรียกเลขฐานสองที่ประกอบกันเป็นชุดคำสั่งและใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ว่าภาษาเครื่อง
     การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันทีแต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก   เพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก   จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นที่เป็นตัวอักษร

    ภาษาแอสเซมบลี  (Assembly   Languages)
       เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 2 ถัดจากภาษาเครื่อง   ภาษาแอสเซมบลีช่วยลดความยุ่งยากลงในการเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์
        แต่อย่างไรก็ตามภาษาแอสเซมบลีก็ยังมีความใกล้เคียงภาษาเครื่องอยู่มาก   และจำเป็นต้องใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่าแอสเซมเบลอร์ (Assembler) เพื่อแปลชุดภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง

   ภาษาระดับสูง (High-Level  Languages)
       เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่  3  เริ่มมีการใช้ชุดคำสั่งที่เรียกว่า  Statements   ที่มีลักษณะเป็นประโยคภาษาอังกฤษ   ทำให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเข้าใจชุดคำสั่งเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานง่ายขึ้น   ผู้คนทั่วไปสามารถเรียนรู้และเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น   เนื่องจากภาษาระดับสูงใกล้เคียงภาษามยุษย์   ตัวแปลภาษาระดับสูงเพื่อให้เป็นภาษาเครื่องนั้นมีอยู่2 ชนิด ด้วยกันคือ
   คอมไพเลอร์(Compiler)  และอินเทอร์พรีเตอร์(Interpreter)
      คอมไพเลอร์  จะทำการแปลโปรแกรมที่เขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็นภาษาเครื่องก่อน   แล้วจึงทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามภาษาเครื่องนั้น
      อินเทอร์พรีเตอร์   จะทำการแปลทีละคำสั่งแล้วทำให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งนั้น  เมื่อทำเสร็จแล้วจึงมาทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป  ข้อแตกต่างระหว่างคอมไพเลอร์กับอินเทอร์พรีเตอร์จึงอยู่ที่การเปลี่ยนแปลทั้งโปรแกรมหรือแปลทีละคำสั่ง


      -การทำงานของระบบ Network และ Internet
โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
  1.เครือข่ายเฉพาะที่ (Local  Area  Network : LAN) 
         เป็นเครือข่ายที่มักพบเห็นกันในองค์กรโดยส่วนใหญ่ลักษณะของการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นวง LAN จะอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆกัน เช่น อยู่ภายในอาคาร  หรือหน่วยงานเดียวกัน
  2. เครือข่ายเมือง (Metropolitan  Area  Network : MAN)
          เป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อมต่อกันเป็นวงที่ใหญ่ขึ้น   ภายในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ในเมืองเดียวกันเป็นต้น
  3.เครือข่ายบริเวณกว้าง (Wide  Area  Network : WAN)
          เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นไปอีกระดับ   โดยเป็นการรวมเครือข่ายทั้ง LAN และ MAN มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเดียว   ดังนั้นเครือข่ายนี้จึงครอบคลุมพื้นที่กว้าง  โดยมีการครอบคลุมไปทั่วประเทศ   หรือทั่วโลก เช่น อินเตอร์เน็ต  ซึ่งถือว่าเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าขอ
รูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย (Network Topology)
          การจัดระบบการทำงานของเครือข่าย  มีรูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย   อันเป็นการจัดวางคอมพิวเตอร์และการเดินสายสัญญาณคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายรวมถึงหลักการไหลเวียนข้อมูลในเครือข่ายด้วย   โดยแบ่งโครงสร้างเครือข่ายหลักได้ 4 แบบ คือ
   - เครือข่ายแบบดาว
   - เครือข่ายแบบวงแหวน
   - เครือข่ายแบบบัส
   - เครือข่ายแบบต้นไม้

1. แบบดาว เป็นแบบการต่อสายเชื่อมโยงโดยการนำสถานีต่างๆ มาต่อรวมกันกับหน่วยสลับสายกลาง   การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง   การทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงคล้ายกับศูนย์กลางของการตอดต่อวงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานีต่างๆที่ต้องการติดต่อกัน
2. แบบวงแหวน เป็นแบบที่สถานีของเครือข่ายทุกสถานีจะต้องเขื่อมต่อกับเครื่องขยายสัญญาณของตัวเองโดยจะมีการเชื่อมโยงของสัญญาณของทุกสถานีเข้าด้วยกันเป็นวงแหวน    เครื่องขยายสัญญาณเหล่านี้จะมีหน้าที่ในการรับข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองหรือจากเครื่องขยายสัญญาณตัวก่อนหน้าและส่งข้อมูลต่อไปยังเครื่องขยายสัญญาณตัวถัดไปเรื่อยๆเป็นวงหากข้อมูลที่ส่งเป็นของสถานีใด  เครื่องขยายสัญญาณของสถานีนั้นก็รับและส่งให้กับสถานีนั้น   เครื่องขยายสัญญาณจึงต้องมีการตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับว่าเป็นของตนเองหรือไม่ด้วย  ถ้าใช่ก็รับไว้ ถ้าไม่ใช่ก็ส่งต่อไป
3. เครือข่ายแบบบัส (Bus Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยสายเคเบิ้ลยาว ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ โดยจะมีอุปกรณ?ที่เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เข้ากับสายเคเบิ้ล  ในการส่งข้อมูล   จะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ การจัดส่งข้อมูลวิธีนี้จะต้องกำหนดวิธีการ   ที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกันเพราะจะทำให้ข้อมูลชนกัน  วิธีการที่ใช้อาจแบ่งเวลาหรือให้แต่ละสถานีใช้ความถี่   สัญญาณที่แตกต่างกัน  ในการติดตั้งเครือข่ายแบบบัสนี้  คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชนิด   ถูกเชื่อมต่อด้วยสายเคเบิ้ลเพียงเส้นเดียว  ซึ่งจะใช้ในเครือข่ายขนาดเล็ก   ในองค์กรที่มีคอมพิวเตอร์ใช่ไม่มากนัก
4. แบบต้นไม้ (Tree Network) เป็นเครือข่ายที่มีการผสมผสานโครงสร้างเครือข่ายแบบต่างๆเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่  การจัดส่งข้อมูลสามารถส่งไปได้ทุกสถานี  การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลางไปยังสถานีอื่นๆได้ทั้งหมด   เพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชื่อม  รับส่งข้อมูลเดียวกัน


   การประยุกต์ใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
-ระบบเครือข่ายทำให้เกิดการสื่อสาร  และการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรระหว่างเครื่อง
  รูปแบบการใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
         ระบบเครือข่ายแบ่งตามลักษณะการทำงาน ได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง(Centrallized  Network)
2. ระบบเครือข่ายแบบ Peer-to Peer
3. ระบบเครือข่ายแบบ Client/ Server
     
        1. ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง
                เป็นระบบที่มีเครื่องหลักเพียงเครื่องเดียวที่ใช้ในการประมวนผล   ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางและมีการเชื่อมต่อไปยังเครื่องเทอร์มินอลที่อยู่รอบๆ ใช้การเดินสายเคเบิ้ลเชื่อมต่อกันโดยตรง   เพื่อให้เครื่องเทอร์มินอลสามารถเข้าใช้งาน    โดยส่งคำสั่งต่างๆมาประมวนผลที่เครื่องกลางซึ่งมักเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมประสิทธืภาพสูง
        2. ระบบเครือข่ายแบบ Peer-to-Peer
                 แต่ละสถานีงานบนระบบเครือข่าย Peer-to-Peer จะมีความเท่าเทียมกันสามารถที่จะแบ่งปันทรัพยากรให้แก่กันและกันได้  เช่น การใช้เครื่องพิทพ์หรือแฟ้มข้อมูลร่วมกันในเครือข่าย   เครื่องแต่ละสถานีงานมีขีดความสามารถในการทำงานได้ด้วยตัวเอง  (Stand Alone) คือจะต้องมีทรัพยากรภายในของตัวเองเช่น ดิสก์สำหรับเก็บข้อมูล   หน่วยความจำเพียงพอ  และมีความสามารถในการประมวนผลข้อมูลได้
        3.ระบบเครือข่ายแบบ Client/ Server
                 ระบบเครือข่ายแบบ Client/ Server สามารถสนับสนุนให้มีเครื่องลูกข่ายได้เป็นจำนวนมาก   และสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้หลายสถานี   ทำงานโดยมีเครื่อง Server ที่ให้บริการเป็นศูนย์กลางอย่างน้อย 1 เครื่อง และมีการบริการจัดการทรัพยากรต่างๆจากส่วนกลาง   ซึ่งคล้ายกับระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง   แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ  เครื่องที่ทำหน้าที่ให้บริการในระบบ Client/ Server ราคาไม่แพงมาก ซึ่งอาจใช้เพียงเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงในการควบคุมการให้บริการทรัพยากรต่างๆ
                  นอกจากนี้เครื่องลูกข่ายยังจะต้องมีความสามารถในการประมวนผล   และมีพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลท้องถิ่นเป็นของตนเอง
                  ระบบเครือข่ายแบบ Client/ Server เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง  สนับสนุนการทำงานแบบ Multiprocessor  สามารถเพิ่มขยายของจำนวนผู้ใช้ได้ตามต้องการ   นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มจำนวนเครื่อง Server สำหรับให้บริการต่างๆเพื่อช่วยกระจายภาระของระบบได้   ส่วนข้อเสียของระบบนี้ก็คือ  มีความยุ่งยากในการติดตั้งมากกว่าระบบ Peer-to-Peer  รวมทั้งต้องการบุคลากรเพื่อการบริหารจัดการระบบโดยเฉพาะอีกด้วย